ข้อคิดดีๆและบทความ [Love & Life, Inspirational Quotes and Articles]


Monday, September 5, 2011

จริงๆแล้วชีวิตคนเราต้องการอะไรกัน

ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ได้เห็นข่าวต่างๆมากมาย ทั้งในและต่างประเทศ ข่าวในประเทศส่วนใหญ่ก็ยังไม่พ้นเรื่องของการเมือง การคอรัปชั่น แต่ที่อ่านดูหลายๆข่าวแล้วเกิดเป็นความรู้สึกที่เก็บตกมาในความคิด มีอยู่ด้วยกัน 3 ข่าว จาก 3 ประเทศ

ข่าวแรกคือ "เรื่องของเด็กสาวชาวจีนหัวใจแกร่ง ทำงานพิเศษ 7 ที่ เลี้ยงพ่อพิการ แม่ฟั่นเฟือนและน้องที่เป็นโรคหัวใจ", ข่าวที่สอง "ยอดเหยื่อไต้ฝุ่น "ตาลัส" ในญี่ปุ่นพุ่งเป็น 25 ราย-สูญหายครึ่งร้อย", ข่าวที่สาม "ปัญหาความวุ่นวายจาการที่ฝูงชนที่แห่มาต่อแถวเพื่อรับโปรแกรมการตลาดลดราคาโทรศัพท์เคลื่อนที่"


พออ่านข่าวจบทั้งสามเรื่อง ทำให้เกิดความคิดเห็นในใจขึ้นมาและก็อดที่จะรู้สึกในทางลบกับข่าวที่สามไม่ได้ แต่เพราะคนเรามีความคิด มีความต้องการที่แตกต่างกัน ดังนั้นสิ่งที่แต่ละคนทำก็เป็นสิทธ์ของแต่ละคนที่จะเลือก เพียงแต่สิ่งที่แต่ละคนเลือกหรือถูกบังคับให้เป็น ช่างมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

หากเราเปรียบเทียบตามลำดับความต้องการของมนุษย์ ตามแนวความคิดของมาสโลว์ จะเห็นว่าเด็กสาวชาวจีนที่มีปัญหาเรื่องความยากจน แต่ก็สู้และพยายามเพื่อรักษาคนในครอบครัว และชาวญี่ปุ่นที่ประสบภัยพิบัติ ต่างก็มีความต้องการในเรื่องของปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต (ความต้องการขั้นที่ 1) และความต้องการความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต (ความต้องการขั้นที่ 2) ที่เป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์เรา ซึ่งอาจจะเพราะไม่มีทางเลือก ในขณะที่คนไทยกลุ่มหนึ่งต้องการ การเป็นที่ยอมรับของกลุ่ม (ความต้องการขั้นที่ 3) และการได้รับการยกย่องจากผู้อื่น (ความต้องการขั้นที่ 4) ผ่านการได้มาของวัตถุตามความนิยมในสังคม


ทฤษฎีของมาสโลว์กล่าวไว้ว่า ความต้องการของมนุษย์จะเป็นลำดับขั้น แต่มีคำถามคือ คนไทยเองมีความเพียงพอในปัจจัยพื้นฐานทั้งเพื่อการดำรงชีวิตและความปลอดภัยแล้วหรือ ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเช่นภัยพิบัติขึ้น จะเป็นอย่างไร

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลายๆประเทศเกิดภัยพิบัติขึ้น ผู้คนต่างบาดเจ็บ ล้มตายไปมากมาย แม้กระทั่งประเทศที่มีความเจริญทางเทคโนโลยีก็ไม่สามารถป้องกันอันตรายใดๆได้ หากเรามองกลับมาที่ตัวเราเอง ลองคิดถึงความไม่แน่นอนของชีวิต ทำไมเราถึงไม่ใช้ชีวิตอยู่บนความพอดีและทำดีในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ เพราะอะไรๆก็สามารถเกิดขึ้นได้

รายละเอียดของข่าว (เนื้อข่าวจาก www.manager.co.th)
"เด็กสาวชาวจีนหัวใจแกร่ง ทำงานพิเศษ 7 ที่ เลี้ยงพ่อพิการ แม่ฟั่นเฟือนและน้องที่เป็นโรคหัวใจ"
"เรื่องราวของเด็กสาวผู้ไม่ย่อท้อต่อชะตากรรม ชื่อเหอผิง ทำงานพิเศษตั้งแต่อายุได้ 5 ขวบเพื่อหาเงินเลี้ยงพ่อพิการ แม่สติฟั่นเฟือน และน้องที่เป็นโรคหัวใจ เธอทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวที่เข้มแข็ง ฝ่าฟันจนน้องชายได้รับการผ่าตัดรักษา และแม้ในยามยากจนที่สุด เธอยังสละเงินเก็บกว่าครึ่งบริจาคให้กับผู้ที่เดือดร้อนกว่า เมื่อเรื่องราวของเธอเผยแพร่ออกไป ทำให้ผู้คนต่างยอมรับนับถือในพลังชีวิตที่แข็งแกร่งเกินวัยของเธอ"


"กรกฎาคม ปี 2008 เหอผิงบังเอิญเจอข่าวเล็กๆ ในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เกี่ยวกับเด็กนักเรียนมัธยมฐานะยากจนที่ขอรับบริจาคเงินกว่าแสนหยวนเพื่อให้มารดาของเขาได้เข้ารับการผ่าตัด เหอผิงอยากช่วย เพราะเธอรู้รสชาติของความลำบากนั้นดีเพราะบิดาของเธอก็ได้รับการผ่าตัดเพราะเงินบริจาค เธอจึงตัดสินใจบริจาคเงิน 1600 หยวน จากเงินเก็บราว 3000 หยวนที่เธอทำงานมาทั้งชีวิต ให้เด็กชายคนนั้น เมื่อเด็กชายทราบว่าพี่สาวผู้ใจดีที่บริจาคเงินให้เขาในครั้งนี้อาจจะเป็นคนที่มีฐานะยากจนกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ จึงตื้นตันในมากและขอบคุณเหอผิงผ่านทางหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับนั้น"เมื่อย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์ดงกล่าว เหอผิง บอกว่าแม้ว่าเธอจะจนเงินทอง แต่ไม่ได้จนสติปัญญา ในยามที่เธอลำบากก็เคยได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นเช่นกัน "ฉันต้องการที่จะตอบแทน ขณะเดียวกันก็เป็นการให้กำลังใจตัวเองด้วยว่า ฉันไม่ใช่คนที่เอาแต่ยื่นมือรับเงินของคนอื่น ขอเพียงทุกคนมีความรักและเมตตา สังคมก็จะสวยงามกว่านี้อีกมาก"



"สำหรับหลายคนอุปสรรคอาจทำให้ท้อแท้ แต่สำหรับบางคนขวางหนามกลับเป็นแรงผลักดันให้ฮึดสู้ต่อไป ที่หัวนอนในห้องเช่าเล็กๆ ของเหอผิงแปะรูปดอกทานตะวันเอาไว้ เพราะเธอชอบดอกทานตะวัน แม้ว่าจะเป็นดอกไม้พื้นๆ ที่ขึ้นตามท้องทุ่ง แต่ทานตะวันหันหน้าเข้าหาแสงสว่างจากดวงอาทิตย์เสมอ เช่นเดียวกับ เหอผิง เด็กสาวที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังชีวิต ไม่เคยย่อท้อต่อชะตากรรมที่โถมซัดเข้ามา แต่กลับเปลี่ยนทุกบาดแผลมาเป็นพลัง ให้หัวใจดวงน้อยแกร่งพอที่จะนำพานาวาชีวิตฝ่าคลื่นลมไปถึงฝั่งฝันจนได้ในสักวัน"

"ยอดเหยื่อไต้ฝุ่น "ตาลัส" ในญี่ปุ่นพุ่งเป็น 25 ราย-สูญหายครึ่งร้อย"


อิทธิพลของไต้ฝุ่นตาลัสส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเป็น 25 ราย สูญหายอีกกว่า 50 คน สะพานทางรถไฟแห่งหนึ่งในเมืองนาจิคัตซูระถูกกระแสน้ำพัดทำลาย ขณะที่สถานีโทรทัศน์ญี่ปุ่นแพร่ภาพต้นไม้ใหญ่ที่ถูกขุดรากถอนโคน, บ้านเรือนที่พังเสียหาย, รถยนต์ซึ่งถูกซัดไปอัดกับกำแพง และอาคารที่จมอยู่ใต้กระแสน้ำเชี่ยวกราก ไต้ฝุ่นตาลัสลดระดับลงเป็นพายุโซนร้อน ขณะที่เคลื่อนตัวออกไปยังทะเลญี่ปุ่น ทว่ายังมีโอกาสเกิดดินถล่ม ซึ่งจะทำให้ปฏิบัติการค้นหาผู้รอดชีวิตยากลำบากยิ่งขึ้นอีก




"ปัญหาความวุ่นวายจาการที่ฝูงชนที่แห่มาต่อแถวเพื่อรับโปรแกรมการตลาดลดราคาโทรศัพท์เคลื่อนที่" (ประเทศไทย)
"เหตุการณ์เริ่มตึงเครียดขึ้น ในช่วง 19น. เป็นต้นไป เมื่อทางเจ้าหน้าที่ของสยามพารากอน ได้ขอให้ผู้ที่อยู่ในบริเวณด้านข้างของห้างด้านวัดปทุมวนาราม ทำการย้ายไปอยู่ในบริเวณหน้าห้าง เพื่อทำการเคลียร์พื้นที่เพื่อทำการจัดบริเวณรองรับผู้ได้สิทธิ์ซื้อเครื่อง ลด 50% แต่ยิ่งทำให้ผู้ที่เป็น 200 คนแรก เกิดความกังวลใจที่เกรงว่าจะเกิดการ "มั่ว" คิวที่ได้ต่อไว้ กับกลุ่มคนที่เพิ่งมาทีหลัง โดยกลุ่มคนเหล่านี้บางส่วนหวังว่า คนที่อยู่ใน 200 คนแรก จะไม่ผ่านเรื่องคุณสมบัติของดีแทค ที่ได้กำหนดไว้ คือ ยังไม่ได้ลงทะเบียนในระบบเติมเงิน หรือ แม้กระทั่งหวังไว้ว่าจะมีการจัดคิวใหม่โดยทางดีแทค"



"จากข้อมูลที่โพสต์ในเว็บไซด์ MXPHONE.COM ระบุว่า เหตุการณ์เริ่มตึงเครียดจริงๆ ในช่วงเช้ามากของเวลาล่วงวันนี้ (3 ก.ย.) ที่มีคนเข้ามาสมทบมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เหตุการณ์ตึงเครียดมากขึ้น ทางผู้บริหารดีแทคเองได้ประกาศว่า กลุ่มคนที่มาถึง 100 คนแรกที่มาต่อแถวนั้น ถือว่าได้รับสิทธิ์ซื้อเครื่องส่วนลด 50% โดยถือหลักการ "FIRST COME FIRST SERVE" (ใครมาก่อนได้ก่อน) ในบทความดังกล่าวยังได้ระบุว่า สร้างความไม่พอใจให้กลุ่มคนกลุ่มที่มาใหม่ และกลุ่มคนที่มาหลัง 200 คนแรกเป็นอย่างมากขึ้นถึงขนาดมีการโห่ไล่ รวมถึงการขว้างปาสิ่งของใส่ผู้บริเวณ และเขย่ารั้วเหล็ก คล้ายๆ กับจะพังเข้าไปในบริเวณห้าง""จนในที่สุดเรื่องวุ่นดังกล่าวจบลงที่ ทางดีแทคประกาศให้ทุกคนที่ต่อแถวหน้าห้างจนล้ำลงไปบนถนนได้รับสิทธิ์ส่วนลด 50% ทั้งหมด 1100 ราย เมื่อรวมกับ 100 คนที่ต่อแถวเพื่อขอรับสิทธิ์ในวันพรุ้งนี้ (4 ก.ย.) รวมทั้งหมด 1200 รายได้รับสิทธิ์ซื้อเครื่องในวันนี้ทันที"

No comments:

Post a Comment